ภายใต้อำนวยการของ พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป., พ.ต.อ.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.วิจักขณ์ ตารมย์ ผกก.สสน.บก.ป, พ.ต.อ.นัษฐวุฒิ ทองทิพย์ ผกก.สภ.ทุ่งสง, พ.ต.ท.ภัทราวุธ อ่อนช่วย รอง ผกก.สสน.บก.ป., พ.ต.ท.พิษณุกร จาดเมือง รอง ผกก.ป.สภ.ทุ่งสง และ พ.ต.ท.ธีรพล พุ่มชัย รอง ผกก.สส.สภ.ทุ่งสง สั่งการให้
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมนำโดย พ.ต.ท.กันต์กวี อดุลยาศักดิ์ สว.กก.สสน.บก.ป., พ.ต.ต.ธรรมราช ส้มเขียวหวาน สว.สส.สภ.ทุ่งสง พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สสน.บก.ป. และ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ทุ่งสง
ร่วมกันจับกุมนายศราวุท (สงวนนามสกุล) อายุ 25 ปีผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดทุ่งสงที่ 77/2564 ลง 28 มีนาคม 2558 ซึ่งต้องหาว่ากระทำ “ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและพาอาวุธ (มีด) ไปในเมืองหมู่บ้านทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือไม่มีเหตุอันควร”
สถานที่จับกุมบ้านเช่า ม.2 ต.ไทรขึง อ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานี
พฤติการณ์สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2558 พนักงานสอบสวนสภ.ทุ่งสงได้รับแจ้งเหตุแทงกันตายบริเวณหน้าร้านข้าวต้มหมู่ 8 ต.ชะมายอ.ทุ่งสงจึงได้เดินทางตรวจสอบในที่เกิดพบผู้บาดเจ็บคือนายสุรเดชฯ อายุ 20 ปีถูกแทงด้วยอาวุธมีดเข้าที่ลำคอ 2 แผลและหน้าท้องอีก 1 แผลและถูกนำตัวส่ง รพ.ทุ่งสง แต่ทนพิษบาดแผลไม่ไหวจึงเสียชีวิตในเวลาต่อมา
จากการสอบสวนเชื่อว่าสาเหตุที่ผู้ต้องหาก่อเหตุดังกล่าวน่าจะมาจากปมหึงหวงซึ่งผู้ต้องหาเข้าใจผิดว่าผู้ตายมาติดพันกับแฟนสาวเนื่องจากในวันเกิดเหตุน.ส.เบญจมัยฯ (แฟนของผู้ต้องหา) ได้มานั่งกินข้าวต้มกับกลุ่มของผู้ตายหลังจากนั้นนายศราวุธฯ (ผู้ต้องหา) ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์มาเห็นจึงจอดรถไว้ที่หน้าร้านข้าวต้มและเข้ามากระชากคอเสื้อแฟนสาวเพื่อให้กลับบ้านไปพร้อมกับตนเมื่อผู้ตายเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวจึงได้เดินตามออกมาด้วยก่อนจะเปิดฉากชกต่อยกันโดยนายศราวุธฯได้ชักมีดที่พกติดตัวมาด้วยแทงผู้ตายจำนวนหลายครั้งและหลบหนีไปทางพนักงานสอบสวนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติหมายจับจากศาลเพื่อติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีตามกฎหมาย
จนกระทั่งวันที่ 29 มกราคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้รับเเจ้งเบาะเเสจากสายลับว่าพบผู้ต้องหาอาศัยอยู่ที่บ้านเช่า ม.2 ต.ไทรขึง อ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานี เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ เมื่อพบผู้ต้องหาจึงได้เข้าจับกุม และนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ทุ่งสง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
“ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด”