กองบังคับการปราบปราม ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป., พ.ต.อ.พัฒนศักดิ์ บุปผาสุวรรณ, พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.พงศ์ปณต ชูแก้ว ผกก.6 บก.ป., พ.ต.ท.สมบัติ มีมงคล, พ.ต.อ.ปิยพล แป้นแก้ว, พ.ต.ท.ศิลป์ชัย ถวัลย์ภิญโย, พ.ต.ท.กันตเมศฐ์ อัครโชควรานนท์รอง ผกก.6 บก.ป.
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ท.หัตถพร ทองคำ, พ.ต.ต.สวรรยา เอียดตรง สว.กก.6 บก.ป., ร.ต.อ.ศรายุทธ จันซิว, ร.ต.อ.พร้อมวุฒิ พร้อมมูล รอง สว.กก.6 บก.ป. พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ จ.ตรัง และจ.สงขลา กก.6 บก.ป.
ร่วมจับกุม นายอาหลี (สงวนนามสกุล) อายุ 48 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดสงขลาที่ จ.314/2545 ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2545 ในความผิดฐาน “ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันสมควร”
สถานที่จับกุม ต.นาเมืองเพชร อ.สิเกา จ.ตรัง
พฤติการณ์ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2545 เวลาประมาณ 20.00 น. มีคนร้ายจำนวน 3 คน ใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นยิง นายชาตรีฯ เถ้าแก่สวนยางในพื้นที่บ้านปาดังเบซาร์ ที่บริเวณสวนยางในพื้นที่ ม.2 ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา จนเสียชีวิต
จากการสืบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่ามูลเหตุมาจากปมชู้สาว เนื่องจากภรรยาของหนึ่งในคนร้าย (ซึ่งเป็นลูกจ้างของผู้ตาย) มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ตาย พนักงานสอบสวนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ขอศาลอนุมัติหมายจับ นายสมพร (สงวนนามสกุล) นายเจนจิต (สงวนนามสกุล) และนายอาหลี(สงวนนามสกุล) กลุ่มผู้ต้องหาที่ก่อเหตุดังกล่าว ซึ่งต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัว นายสมพรฯ และนายเจนจิตฯ มาดำเนินคดีตามกฎหมายได้แล้ว ส่วนนายอาหลีฯ (ผู้ต้องหา) ยังคงหลบหนีการจับกุมอยู่ (หนีคดีนานกว่า 19 ปี)
กระทั่งวันที่ 6 เมษายน 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.6 บก.ป. ได้ทำการสืบสวนจนทราบว่าผู้ต้องหาได้หลบหนีไปพักอาศัยและสร้างครอบครัวอยู่ในพื้นที่ ต.นาเมืองเพชร อ.สิเกา จ.ตรัง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เข้าจับกุมตัวผู้ต้องหา และนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ปาดังเบซาร์ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
จากการสอบถาม ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม พ.ต.ท.หัตถพร ทองคำ สว.กก.6 บก.ป. โทร.085-321-9191 และ พ.ต.ต.สวรรยาเอียดตรง สว.กก.6 บก.ป. โทร.085-536-4636
“ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด”